วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

กินและฟิต ตามกรุ๊ปเลือด


หากจะพูดถึงคำว่าการออกกำลังกายนั้น เป็นเรื่องดีก็จริง แต่บางครั้งเราสมควรจะต้องเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกายของเราด้วย รวมทั้งการเลือกกินอาหารด้วยเช่นกัน ควรเลือกกินอาหารให้เหมาะสมกับปริมาณที่ร่างกายเราต้องการ วันนี้เราจึงมีการออกกำลังกายและการเลือกกินอาหารให้เหมาะสมตามกรุ๊ปเลือดของแต่ละคนมาบอกกัน

กรุ๊ปเลือดA สำหรับกรุ๊ปเอนั้นสมควรหันมากินผัก ผลไม้ ให้มากๆ เลย ที่สำคัญสมควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอย่าทานแป้งมากเช่นเดียวกับคนกรุ๊ปโอ เพราะมันจะทำให้คุณอ้วนง่ายมากๆ ที่สำคัญสำหรับคนกรุ๊ปเอที่อยากจะลดน้ำหนักห้ามอดอาหารโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบการเผาผลาญอาหารลดลง และกลายเป็นว่าน้ำหนักไม่ลดลงเลย การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับกรุ๊ปเลือดเอ คือ คนกรุ๊ปเอเป็นประเภทไม่ชอบออกแรงเยอะ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้แรงมาก แต่ให้เวลากับการออกกำลังกายแต่ละครั้งนานหน่อย และถ้าเป็นไปได้ สมควรเป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้สมาธิ ซึ่งยุคนี้แพร่หลายมาก เช่น การฝึกโยคะ หรือจะเป็นการเดินช้าๆ ก็ดีไม่หยอก เพราะจะช่วยประสานพลังในร่างกาย

กรุ๊ปเลือดB เลือกกินอาหารให้สมดุลมากที่สุด แต่สมควรต้องงดอาหารจำพวกแป้ง ถั่วและเนื้อไก่ เพราะอาหารจำพวกนี้จะมีสารเลคตินซึ่งจะไปรบกวนการเผลาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้อาหารไม่ย่อย จุกเสียด อ้วนง่าย สมควรหาเครื่องดื่มประเภทชามาจิบเพื่อผ่อนคลาย การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับกรุ๊ปเลือดบี คือ ไม่สมควรใช้การออกกำลังกายแบบบ้าพลังมากนัก ควรเป็นการออกกำลังกายแบบปานกลางเบาๆ แต่ต้องออกให้หนักกว่ากรุ๊ปเอนิดนึง เช่น เดินเร็วๆ ตีกอล์ฟ ตีปิงปอง หรือจะกระโดดไปลองบอดี้คอมแบต และพวกคาราเต้บ้างก็ได้

กรุ๊ปเลือดO หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าคนกรุ๊ปโอสมควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและของมัน สมควรหันไปกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์แทน เพราะคนเลือดกรุ๊ปนี้จะมีระบบการเผาผลาญเนื้อสัตว์ได้ดี การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับกรุ๊ปเลือดโอ คือ แบบที่ต้องใช้แรงมากหน่อย ใช้การเผาผาญสูงและใช้อัตราการหายใจเร็วหน่อย อย่างการเต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน ยกน้ำหนัก ว่าย

กรุ๊ปเลือดAB ในการเลือกทานอาหารนั้น สมควรเน้นการทานอาหารทะล ถั่วเหลือง และผักมากๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันในร่างกาย สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้คือ พวกเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ตลอดจนเหล้าเบียร์ การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับเลือดกรุ๊ปเอบี คือ สำหรับแนวทางการออกกำลังกาย คือ ต้องใช้วิธีผสมผสานระหว่างเลือดกรุ๊ปเอและบีค่ะ คือควรออกกำลังกายแบบไม่ต้องใช้แรงมาก สลับการออกกำลังกายแบบแรงปานกลาง เช่น อาจจะเล่นโยคะก่อนแล้วค่อยออกมาเดินเร็วๆ อีกสักพักอะไรประมาณนี้

จบกันไปแล้วทั้ง 4 กรุ๊ปเลือดนะคะ หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะนำเอาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือด และกิจกรรมออกกำลังกายเพื่อดูแลรักษาสุขภาพของคุณ ๆ ทั้งหลายให้แข็งแรงกันตลอดไปนะคะ

ทางร้าน myhomeubon มีเมนูแนะนำเพื่อสุขภาพสำหรับคนรักสุขภาพกับเมนู 🥗“สลัดหลวงพระบาง” 🥗 เมนูเด่นจากหลวงพระบาง สลัดจานนี้นำผักออร์แกนิค 🍅🥦 🥒 ทั้งผักกาดแก้ว แตงกวา มะเขือเทศลูกเล็ก ฉ่ำๆ กรุบๆ สดใหม่ มาปรุงด้วยน้ำสลัดสูตรของหลวงพระบาง ปิดท้ายด้วยถั่วลิสงคั่วโรย กลายมาเป็นเมนูสลัดที่อร่อย ได้ประโยชน์ สุขภาพดีในตัว ส่วนรสชาติจะแตกต่างจากการทานสลัดปกติที่เราๆ เคยทานมาหรือไม่ ต้องมาพิสูจน์กัน ที่ร้าน ✨ #myhomeubon♥ สามารถมาทานได้ที่ร้านมายโฮมได้นะคะ รับรองว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง สนใจหรือสบถามได้ที่ร้าน myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

การกินเนื้อสัตว์ให้ถูก

จะกินเนื้อสัตว์ให้ได้ประโยชน์ ต้องคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี ควรกินเนื้อสัตว์ให้ถูกวิธี และกินในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย กินให้ดี ก็ได้ประโยชน์ ถ้ากินไม่ดี ก็จะเป็นผลเสียกับร่างกายในระยะยาว อย่ากระนั้นเลย เหล่านักกินเนื้อทั้งหลายมาดูกันดีกว่าว่า เนื้อแต่ละชนิด เราควรเลือกกินกันอย่างไร

เนื้อหมู เนื้อหมูส่วนที่มีโปรตีนคุณภาพมากที่สุดคือ เนื้อหมูสันใน ซึ่งมีความนุ่ม เนื้อเส้นใยเล็ก ไม่มีไขมันแทรก ส่วนเนื้อสันคอ จะเป็นเนื้อส่วนที่มีริ้วไขมันแทรก ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและเด้ง เมื่อนำไปประกอบอาหาร เช่น ย่าง จึงได้เนื้อที่นุ่มลิ้น ฉ่ำน้ำ รสอร่อย ด้านส่วนที่มีไขมันมากที่สุดคือ หมูสามชั้น คอหมู และซี่โครงหมู

การเลือกกินเนื้อหมูที่ดีจึงควรให้ได้สารอาหารสมดุลกับปริมาณที่ร่างกายแต่ละคนต้องการ เพราะนอกจากโปรตีนแล้ว ในเนื้อหมูยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 ช่วยลดอาการเหน็บชา วิตามินเอ บำรุงสายตา ฟอสฟอรัส และไนอาซีน ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และบำรุงสมอง

เนื้อวัว แม้เนื้อวัวจะมีปริมาณโปรตีนสูง แต่ก็พ่วงมากับปริมาณไขมันที่สูงเช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อโคขุนทั้งหลาย เพราะฉะนั้นใครที่กำลังลดน้ำหนัก ควรเลือกกิน เนื้อสันส่วนบน ซึ่งมีโปรตีนสูงแต่มีไขมันแทรกอยู่น้อย โดยในเนื้อวัวมีธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงเลือด และวิตามินบี 12 ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และสมองเสื่อม

เนื้อไก่ จัดเป็นเนื้อชนิดแรกๆ ที่คนรักสุขภาพจะนึกถึง เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อที่ให้โปรตีนคุณภาพสูง ยังมีปริมาณไขมันที่น้อยมากๆ (เมื่อเลาะหนังออกแล้วนะ) โดยเฉพาะ เนื้ออกไก่ ซึ่งมีไขมันเพียงร้อยละ 8.2 ส่วนสะโพก ปีก และส่วนตูดไก่ คือส่วนที่มีไขมันมากที่สุด

นอกจากนี้ไก่ยังมีสารอาหาร เช่น วิตามินบี 3 ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด รวมทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง เนื้อไก่จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาและคนรักสุขภาพ ส่วนของน่องสะโพกก็เป็นที่โปรดปรานของหลายคนไม่แพ้กัน โดยการนำเนื้อไก่มาหมักซอสต่างๆ จะทำให้เนื้อไก่มีรสชาติที่อร่อยมากยิ่งขึ้น

เนื้อปลาและซีฟู้ด ในเนื้อปลา มีโปรตีนชนิดที่ย่อยง่าย มีโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี มีส่วนช่วยบำรุงสมอง สายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจ แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และดี มีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น ไอโอดีน ช่วยป้องกันโรคคอพอก ธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก

ส่วนกุ้ง หอย ปู ปลา และหมึก ก็เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี แคลเซียมจากเปลือกกุ้งช่วยเสริมสร้างกระดูก และยังมีโอเมกา 3 เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ควรระวังเรื่องคอเลสเตอรอลที่มักพ่วงมากับอาหารทะเลบางชนิดด้วย


วันนี้ทางร้าน myhomeubon มีเมนูนำเสนอ 🍗“เนื้อย่างโพนยางคำ”🍗 เนื้อโคขุนคุณภาพดี รสชาติอร่อย เนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่นเหม็นสาบ ติดมัน ย่างบนเตา​ ไฟกลางๆ หั่นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด🌶 เด็ดดวงมากค่ะ !! อย่าลืมมาลิ้มลองความอร่อยกันนะคะ มายโฮมอาหารอร่อย♥ ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

มาดูแลสายตา กับ 'อาหารบำรุงสายตา' กันเถอะ

การบำรุงสายตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเพื่อถนอมสายตาของเรา วันนี้เราจึงมีอาหารบำรุงสายตามาแนะนำ ไปดูกันเลย

1.อะโวคาโด
อะโวคาโด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา ช่วยป้องกันอาการตาฝ้าฟาง อีกทั้ง ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตาตามวัยได้

2.ปลาแซลมอน
นอกจากจะช่วยบำรุงหัวใจแล้ว ปลาแซลมอน ยังถือว่าเป็นซุปเปอร์ฟู้ดในการบำรุงสายตาอีกด้วย สำหรับคนที่จ้องหน้าจอคอมนานๆ หรือตาแห้ง เป็นอีกเมนูที่ต้องทานจริงๆ เพราะปลาแซลมอนอุดมไปด้วย DHA ซึ่งเป็นกรดที่มีอยู่ในจอประสาทตา อีกทั้ง ยังช่วยป้องกันอาการตาแห้งได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นไขมันโอเมก้า 3 ก็ยังช่วยบำรุงสายตาได้

3.ผักบุ้ง
ผักที่มีวิตามิน และประโยชน์มากมายจริงๆ นอกจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการบำรุงสมองแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำยังช่วยรักษาอาการสายตาสั้น ตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง และอาการคันตาบ่อยๆ อีกด้วย

4.ไข่
กินไข่เป็นประจำก็ช่วยให้มีสุขภาพดวงตาที่ดีได้ เพราะไข่อุดมไปด้วยลูทีน และซีแซนทีน อันมีคุณสมบัติลดความเสี่ยงโรคตาที่เกิดตามวัย และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์ที่มากขึ้น เวลาซื้อไข่มารับประทานก็ควรจะมองหาไข่ที่มีโอเมก้า 3 ด้วยนะคะ เพราะไข่เหล่านี้ จะเป็นไข่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าไข่ทั่วไป

5.แครอท
แครอท ถือเป็นอาหารบำรุงสายตาที่เด็ดดวงอีกชนิดหนึ่ง เพราะเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ที่อยู่ในแครอทมีฤทธิ์ในการดูแลสุขภาพดวงตาโดยตรง ช่วยบำรุงให้กระจกตาใสแจ๋ว ป้องกันเซลล์ต่างๆ ในดวงตา อีกทั้ง ยังป้องกันการเกิดโรคตาบอดตอนกลางคืนได้ ไม่เพียงเท่านั้น ลูทีนที่อยู่ในแครอทยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของจอประสาทตา และป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย
วันนี้เลยมาแนะนำเมนูที่ทำจากผักบุ้ง นั่นก็คือ ☘" ผัดผักบุ้งไฟแดง "☘ อาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งยังบำรุงสายตา และยังเป็นเมนูที่ครองใจใครหลายๆคน เป็นอาหารไทยที่เป็นที่นิยมมาก☘ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ🍚 🤤 myhomeubon ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

5 วิธีลดน้ำหนักแบบได้ผล โดยไม่ต้องอดอาหาร!

หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือต้องลดไขมันที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ และอย่าหยุดกินอาหาร แต่ต้องเลือกกินอาหารให้มากขึ้นเท่านั้นเอง ที่สำคัญควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย จึงจะสามารถช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น แบบไม่ต้องอดอาหารเลยแม้แต่มื้อเดียว

1. เลือกกินให้มากขึ้น คุมแป้งไขมัน และน้ำตาล
ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลือกกินให้มากขึ้น เช่น กินเนื้อสัตว์ส่วนที่ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงส่วนหนัง งดกินเค็ม ของมันของทอด และเปลี่ยนมากินอาหารที่ใช้วิธีทำด้วยการต้มหรือนึ่งแทน รวมไปถึงจำกัดปริมาณการกินอาหารที่อุดมด้วยแป้ง ไขมัน และน้ำตาลด้วย ที่สำคัญควรกินอาหารหลักให้ครบ 3 มื้อ โดยมีผักผลไม้ทุกวัน และถ้าหากดื่มนมเป็นประจำ ควรเลือกดื่มนมรสธรรมชาติ สูตรพร่องไขมัน หรือไขมัน 0% หลีกเลี่ยงนมที่มีรสหวาน เช่น รสช็อกโกแลต รสสตอเบอร์รี่ เป็นต้น

2. กินข้าวเท่ากับเนื้อ กินผักมากกว่าข้าว

การกินแบบ 2:1:1 ใน 1 มื้อ (ผัก 2 ส่วน / คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน / โปรตีน 1 ส่วน / ผลไม้ 1 ส่วน) จะให้พลังงานประมาณ 400 กิโลแคลอรี ช่วยลดพลังงานในแต่ละวันลงได้ 500 กิโลแคลอรี ใน 1 สัปดาห์สามารถลดน้ำหนักลงได้ครึ่งกิโลกรัม นอกจากนี้การกินแบบนี้จะได้ปริมาณผักใน 1 มื้อ 100-200 กรัม และหากกิน 3 มื้อควบคู่กับผลไม้ จะได้รับปริมาณรวมไม่น้อยกว่า 400 กิโลกรัม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ อย่างไรก็ตามควรมีกิจกรรมทางกายร่วมด้วยจะช่วยลดพุงได้เร็วขึ้น

3. ออกกำลังกายควบคู่

ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที โดยผสานการออกกำลังกายทั้ง 3 แบบเข้าด้วยกัน คือ คาร์ดิโอ การใช้แรงต้าน และการยืดเหยียด ซึ่งสำหรับคาร์ดิโอจะเน้นการขยับเขยื้อนร่างกายเป็นหลัก ส่วนแรงต้านจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา หัวไหล่ หน้าท้อง หน้าอก เกร็งโดยใช้น้ำหนัก และแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เช่น บอดี้เวท เวทเทรนนิ่ง เป็นต้น สุดท้ายคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อลดการบาดเจ็บและทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวดีขึ้นั่นเอง

4. ลดการกินอาหารบุฟเฟ่ต์

ปัจจุบันอาหารบุฟเฟ่ต์ กลายเป็นอาหารยอดนิยมของกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ นักเรียน นักศึกษา โดยการกินบุฟเฟ่ต์ส่วนใหญ่มักจะคิดถึงความคุ้มทุน และพยายามกินอาหารให้ได้ในปริมาณที่มาก เพื่อจะให้คุ้มค่ากับราคาที่เสียไป แต่ทั้งนี้หากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ร่างกายจะนำพลังงานส่วนเกินนั้น ไปเก็บสะสมในรูปไขมันเพื่อเป็นพลังงานสำรอง ซึ่งถ้ามีการสะสมของไขมันมากขึ้น ก็จะนำไปสู่โรคอ้วนและนำไปสู่โรคต่างๆ ได้ ดังนั้นการลดอาหารบุฟเฟ่ต์ลงบ้าง จึงเป็นเหมือนตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีมากอีกทางหนึ่งนั่นเอง

5. กินอาหารเช้าให้เต็มที่ กินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น (ไม่เกิน 18.00 น.)

การลดน้ำหนักให้ได้ผล นอกจากจะต้องอาศัยวินัยในการออกกำลังกายแล้ว การรับประทานอาหารก็มีผลอย่างมากด้วยเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้เราได้ยินกันมาว่า กินน้อยๆ แต่ให้บ่อยมื้อ จะช่วยเรื่องระบบการเผาผลาญในร่างกายได้ดีขึ้น แต่จากผลการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัย Loma Linda University School of Public Health ในสหรัฐอเมริกา กลับพบว่า การกินอาหารมื้อเช้าให้เต็มที่ และกินมื้อเย็นให้เร็วขึ้น (ไม่เกิน 18.00 น.) เพื่อให้มีระยะเวลาที่ท้องว่างนาน 18 ชั่วโมง คือกุญแจสู่การลดน้ำหนักที่ได้ผลอย่างแท้จริง

นอกจากการเลือกรับประทานอาหารแล้ว ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมันที่สะสมมา และที่มายโฮม เรานั้นมีฟิตเนส ที่มีมาตราฐาน ที่ทันสมัย บรรยากาศดี มีสระว่ายน้ำ อาหารที่นี้อร่อยมาก เปิดบริการทุกวัน 11.00 - 22.00 น. ✨

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ประโยชน์ของมะละกอ

มะละกอ เป็นผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นมะละกอดิบในเมนูรสแซ่บอย่างส้มตำที่หากินได้ง่าย มะลอกอสุกที่นิยมรับประทานเป็นของว่าง หรือล้างปากหลังมื้ออาหารเพราะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เพิ่มเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายก็ดีไม่น้อยเช่นกัน
คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอ มะละกอดิบปริมาณ 100 กรัมให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต 10.82 กรัม น้ำตาล 7.82 กรัม เส้นใย 1.7 กรัม ไลโคปีน 1,828 ไมโครกรัม เบตาแคโรทีน 274 ไมโครกรัม ลูทีนและซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม นอกจากนี้ยังมีสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี9 วิตามินซี 62 มิลลิกรัม วิตามินอี วิตามินเค แคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุสังกะสี

✨✨ประโยชน์ของการรับประทานมะละกอ✨✨

1.ช่วยบำรุงประสาทและสมองได้เป็นอย่างดี

2.ช่วยในการย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วย

เอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร

3.ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ เนื่องจากมะละกอสุกถือเป็นยาระบายอ่อนๆ

4.ช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน

และยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคนิ่วในระบบทางเดิน

ปัสสาวะได้

5.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วย

ให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยชะลอวัย และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส

6.ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งอ้างว่า การรับประทานมะละกอเป็นประจำ

ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้




วันนี้เลยมาแนะนำเมนูที่ทำจากมะละกอ นั่นก็คือ
👉 " เมนูส้มตำมายโฮม "👈 สูตรเด็ดของทางร้าน รสชาติสุดแซ่บ🔥 เข้มข้นจัดจ้าน เครื่องครบรส รับรองอร่อยถึงใจแน่นอน 🤤 มามายโฮมอย่าลืมสั่งส้มตำมายโฮมนะคะรับรองความอร่อย ✨😉 #myhomeubon ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น

สรรพคุณของผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่น และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นิยมนำมาประกอบอาหารทั้งแบบปรุงสุกหรือรับประทานแบบสด มีสรรพคุณที่น่าสนใจหลายประการ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

1.ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ผักชีฝรั่งมีสารเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยบนผิวหนัง จึงทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนกว่าวัย


2.อาจช่วยป้องกันมะเร็ง เนื่องจากใบผักชีฝรั่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงน่าจะมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้


3. ช่วยรักษาอาการท้องอืด ผักชีฝรั่งมีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่เกิดจากกรดเกินในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี


4. ควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ไนอาซินในผักชีฝรั่ง สามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือด และควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


5. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ผักชีฝรั่งเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น จึงป้องกันการเจ็บป่วย และต้านการอักเสบต่างๆ ในร่างกายได้


6. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ผักชีฝรั่งมีวิตามินบี 2 ที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรน และลดอาการปวดศีรษะจากการทำงานต่อเนื่องได้


7. ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน วิตามินบี 1 ในผักชีฝรั่ง จะช่วยให้ร่างกายนำโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมาใช้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



8. ดับกลิ่นปาก หลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง ควรรับประทานใบผักชีฝรั่ง 2-3 ใบ เพื่อช่วยดับกลิ่นปาก และทำให้ลมหายใจมีกลิ่นหอม


จากข้อมูลข้างต้นทำให้เราเห็นได้ว่า ผักชีฝรั่งมีสรรพคุณมากมายต่อสุขภาพของเราคาดไม่ถึงเลยที่เดียวซี่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักสุขภาพ ผักชีฝรั่งเป็นอีกหนึ่งชนิดที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง ที่จะหาซื้อมาประกอบอาหารรับประทานกันในครัวเรือน




วันนี้เลยมาแนะนำเมนูที่ทำจากผักชีฝรั่ง นั่นก็คือ 🐓 “ต้มแซ่บไก่บ้าน” 🐓 เมนูอีสานสุดแซ่บ!! รสชาติจัดจ้านถึงพริกถึงขิง ด้วยไก่บ้านที่ต้มเข้ากับสูตรของทางร้านที่ตั้งใจทำทุกขั้นตอน ซดคล่องคอ คนไหนที่ชอบทานอาหารสจัดๆ แนะนำเมนูนี้เลย รับรองเผ็ดร้อนถึงใจแน่นอน 🤤 myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก