วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระชาย สมุนไพรคู่ครัวไทย ที่สรรพคุณดีเลิศ และเป็นสมุนไพรลดน้ำหนักได้ด้วย


โสมไทย สมุนไพรเยี่ยมของไทยอย่างหนึ่งคือ กระชาย นอกจากจะใช้เป็นเครื่องปรุงในเครื่องแกง ต่างๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมแล้ว ทราบไหมคะว่า ยังมีสรรพคุณทางยาอีกสารพัดประโยชน์ ซึ่งนับได้ว่า กระชาย เป็นสมุนไพรไทย สารพัดประโยชน์จริงๆค่ะ สำหรับ สรรพคุณและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับ กระชาย แบ่งเป็น หัวข้อหลัก ได้ดังนี้นะคะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
ชื่อสามัญ : Kaempfer
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : กระชายดำ กะแอน ขิงทราย (มหาสารคาม) จี๊ปู ซีฟู เปาซอเร๊าะ เป๊าสี่ระแอน (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ละแอน (ภาคเหนือ) ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพฯ)
ลักษณะทางกายภาพ : กระชาย เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นอยู่ใต้ดิน หรือที่เราเรียกกันว่า เหง้า แบ่งตามชนิดได้ 3 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ , กระชายเหลือง , กระชายแดง

ประโยชน์ : นิยม นำมาใช้เป็นเครื่องปรุง ของอาหารไทย ประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงเผ็ด แกงกะทิ เป็นต้น แต่ที่นิยม นำมาปรุงเป็นเครื่องแกงนั้น จะนิยมใช้เป็นกระชายเหลือง ส่วนกระชายแดง และกระชายดำนั้น จะนิยมนำมาทำเป็นยา บำรุงกำลัง และ เสริมกำหนัด หรือพูดง่ายๆว่า เป็น ยาเสริมสมรรถภาพทางเพศนั่นเองค่ะ และ ที่สำคัญ กระชาย ยังมีฤทธิ์ต้านการลุกลามการขยายตัวของเซลส์มะเร็งอีกด้วยนะคะ สำหรับสรรพคุณที่จะนำเสนอคุณผู้อ่านวันนี้นะคะ จะเป็นสรรพคุณเกี่ยวกับ การบำรุงกำลัง และ เป็นยาอายุวัฒนะค่ะ


กระชายบำรุงกำลัง

นำกระชาย 2 – 3 หัว มาบุบพอให้แตกแต่ไม่ต้องละเอียดนะคะ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง นำไปแช่น้ำผึ้ง 1 ถ้วยตวง แช่ทิ้งไว้ ประมาณ 1 วัน แล้วนำน้ำผึ้งที่ได้จากการแช่กระชาย มารับประทาน ก่อนเข้านอน พอตื่นตอนเช้า จะรู้สึกได้เลยค่ะว่า สดชื่น กระปรี้กระเปร่า

กระชายยาอายุวัฒนะ

นำกระชาย 2 – 3 หัว ทุบให้ละเอียดแล้ว ห่อในผ้าขาวบาง คั้นเอาน้ำ ผสมกับ น้ำผึ้ง แล้วทานก่อนจะรับประทานอาหารเย็นประมาณ 20 นาทีค่ะ โดย ทานแบบนี้เป็นประจำ จะทำให้เจริญอาหารและสดชื่นค่ะ

นอกจากนี้ กระชาย ยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมายนะคะ เช่น แก้โรคบิด แก้ลมวิงเวียน แก้ท้องเดิน แก้ฝีในปาก แก้กลาก เป็นต้นค่ะ สำหรับ ส่วนอื่นๆ ของกระชาย นอกจากเหง้าแล้ว ใบ และ รากของกระชาย ก็ยังมีสรรพคุณทางยา อีกด้วยนะคะ

เหง้าและราก สรรพคุณ : แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ใช้เป็นยาภายนอกรักษาขี้กลาก

ใบ สรรพคุณ : บำรุงธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ

กระชาย ลดความอ้วนได้จริงหรือ ?

นอกจากจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกายแล้ว กระชายยังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย โดยสถาบัน Clinical Research Information Service ของประเทศเกาหลีใต้ ได้ทำการศึกษาว่ากระชายสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้หรือไม่ ซึ่งในการศึกษาได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสามกลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกรับประทานกระชายวันละ 300 มิลลิกรัม กลุ่มที่ 2 ทาน 600 มิลลิกรัม และกลุ่มที่สามรับประทานยาแป้ง

จากการวิจัยพบว่า ทั้งกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองที่มีการรับประทานกระชายนั้นมีรอบเอว ปริมาณไขมัน และน้ำหนักตัวที่ลดลงตามลำดับภายในเวลา 12 สัปดาห์ แต่กลุ่มที่รับประทานยาแป้งนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็ยังต้องมีการศึกษาต่อไปว่าการบริโภคกระชายในปริมาณเท่าใดจึงจะดีต่อสุขภาพและช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดค่ะ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ดีๆของถั่วงอกที่หลายคนคาดไม่ถึง


ถั่วงอก คือ ต้นถั่วที่มีรากงอกมาจากเมล็ดถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วลันเตา และถั่วเหลือง (ถั่วงอกหัวโต) จัดว่าเป็นผักชนิดหนึ่ง (ผักที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่ชอบกินและมักจะเขี่ยทิ้ง เพราะมีกลิ่นเฝื่อนและมีรสฝาดเฉพาะตัว) ซึ่งถั่วงอกที่เพาะมาจากถั่วดำหรือถั่วเขียวจะมีวิตามินและเกลือแร่สูง ส่วนถั่วงอกที่เพาะมาจากถั่วเหลืองจะมีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งประเทศแรกของโลกที่มีการเพาะถั่วงอกหัวโตก็คือประเทศจีน

คำแนะนำ : เนื่องจากถั่วงอกดิบมีกรดไฟติกมาก สำหรับผู้ที่ปวดเข่าควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เนื่องจากกรดชนิดนี้จะไปแย่งจับแคลเซียม แต่ถ้าอยากจะรับประทานก็ควรนำไปต้มหรือทำให้สุกเสียก่อน

สรรพคุณของถั่วงอก

1. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื่องจากถั่วงอกเป็นที่ผักที่มีแคลเซียมสูง มีส่วนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

2. การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยในการชะลอวัย ต้านความแก่ คงความอ่อนเยาว์ เนื่องจากมีสารออซินอน (Auxinon) ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้ร่างกายคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้นานยิ่งขึ้น

3. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย

4. มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย (วิตามินบี 12)

5. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด

6. ช่วยในการขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง

7. ถั่วงอกเป็นผักที่ย่อยง่ายมาก ๆ การรับประทานถั่วงอกจะช่วยประหยัดเวลาการทำงานของระบบการย่อยอาหารได้ และทำให้ขับถ่ายได้สะดวก

8. ช่วยในการขับปัสสาวะ

9. การรับประทานถั่วงอกก่อนมีประจำเดือนจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของประจำเดือนได้

10. ช่วยลดและกำจัดของเสียหรือสิ่งตกค้างในร่างกายได้ (Toxin)

11. มีส่วนช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวนุ่ม เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล (วิตามินอี)

12. การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง

13. วิตามินซีจากถั่วงอกช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายและยังช่วยป้องกันหวัดได้อีกด้วย

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผักรสขม: คุณค่าที่ไม่ควรเขี่ยทิ้ง


หวานเป็นลม ขมเป็นยา (สมุนไพร) ใครๆ ก็รู้ และเมื่อได้ชื่อว่าเป็น “สมุนไพร” แล้ว ก็ย่อมการันตีได้ดีว่า มีสรรพคุณทางยา ซึ่งสามารถใช้บำบัด รักษา และทำให้สุขภาพดีได้ สมุนไพรหลายชนิดเป็นพืชผักสวนครัวที่หารับประทานได้ไม่ยาก โดยถ้าจะกล่าวถึง “ผักที่มีรสขม” ก็คงต้องยกให้สุดยอดผักอย่าง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ และใบยอ เป็นพระเอกของผักประเภทนี้ เพราะมีคุณค่ามากล้นจนใครหลายคนอาจคาดคิดไม่ถึงเลยทีเดียว


> สะเดา แทบจะทุกส่วนของสะเดาสามารถใช้เป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า การกินสะเดาจะช่วยป้องกันและรักษาอาการไข้ได้ นอกจากนี้คือ ช่วยบำรุงเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย และช่วยให้นอนหลับดี เรานิยมนำยอดและดอกของสะเดามาทำเป็นอาหาร เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และไนอาซิน ส่วนเมนูยอดฮิตก็คงหนีไม่พ้น สะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่าง และถ้าหากใครได้ลองลิ้มชิมรสก็คงจะอร่อยจนลืมขมไปเลยทีเดียว


> ขี้เหล็ก จัดเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยานอนหลับชั้นยอด เพราะมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยระบายท้อง บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ช่วยขับปัสสาวะ รวมทั้งช่วยลดไข้และลดความดันโลหิต เมนูขี้เหล็กส่วนใหญ่จะใช้ดอกตูมและใบอ่อน นำมาทำเป็นแกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ซึ่งจะให้วิตามินเอและวิตามินซีค่อนข้างสูง มีเส้นใยที่ช่วยในการขับถ่าย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซินซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย


> มะระ ทั้งมะระจีนและมะระขี้นก ในตำรายาไทยบอกว่าเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย ช่วยบำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ อีกทั้งมีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงระดู ส่วนแพทย์แผนจีนเชื่อว่ามะระมีพลังของความเย็น จึงช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด และบำรุงตับ นอกจากนี้ แม่บ้านชาวจีนยังนำมะระมาปรุงเป็นอาหารเพื่อให้คนในบ้านรับประทานยามเกิดสิวบนใบหน้าอีกด้วย เพราะมีสรรรพคุณช่วยบำรุงผิว

มะระจีนและมะระขี้นก สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ยอดและผลอ่อนลวกจิ้มน้ำพริก มะระผัดไข่ แกงกะทิมะระใส่ปลาดุก ต้มจืดมะระยัดไส้หมูสับ นอกจากนี้ ชาวอีสานยังนิยมนำใบมะระมาใส่ลงในแกงเห็ดแบบพื้นบ้านจะทำให้แกงมีรสขมนิดๆ แต่กลมกล่อม ส่วนคนในภาคเหนือนิยมนำยอดมะระสดมากินกับลาบ หรือนำไปทำเป็นแกงคั่ว แกงเลียง และแกงป่า ซึ่งจะได้รสน้ำแกงที่ขมเฉพาะตัว


> ยอ ผักพื้นบ้านที่นำมารับประทานได้ทั้งใบและผล เพราะมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง และช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ และช่วยทำให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ สำหรับผู้หญิงที่กินผลยอแก่จัดเป็นประจำจะช่วยบำรุงเลือดลม แก้ปวดท้องประจำเดือน รวมทั้งรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า ใบยอนิยมนำมาทำเป็นห่อหมกใบยอ แกงใบยอกับปลาดุก เมี่ยงใบยอ หรือยอดใบยอจิ้มน้ำพริก ส่วนผลสุกนิยมนำมาจิ้มกับพริกเกลือ อีกทั้งปัจจุบันยังมีการนำมาทำเป็นน้ำลูกยอเพื่อให้รับประทานง่ายอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของพริกป่น ที่มีมากกว่ารสชาติที่เผ็ดร้อน


พริกป่น เป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหารที่มีมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีวิธีการที่นำไปใช้ประกอบอาหารมากมาย อาทิ การนำมาเป็นเครื่องปรุงอาหารที่เพิ่มรสชาติภายในร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งหากพูดถึงพริกป่นส่วนใหญ่ทุกคนมักจะนึกถึงรสชาติที่เผ็ดร้อนของพริกเป็นอันดับแรก โดยไม่เคยรู้เลยว่าในรสชาติที่เผ็ดร้อนนั้นมีคุณค่าทางอาหารและประโยชน์มากมาย ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. ในพริกมี วิตามินเอ, วิตามินซี, แคลเซียม และธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันหัวใจ

2. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น

3. ในพริกมีสารที่เรียกว่า แคปไซซิน ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว

4. ในสารที่เรียกว่า แคปไซซิน ในพริกยังมีความสามารถช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และมะเร็งผิวหนังกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย

5. พริกป่นสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อหลัง

6. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ

7. ใช้ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก

8. ช่วยคลายเครียด

9. พริกป่นช่วยลดไขมัน ป้องกันลิ่มเลือดจับตัว

10. ช่วยขยายหลอดลม ช่วยขับเสมหะและเปิดคอให้โล่งขึ้น ในกรณีคนที่เป็นภูมิแพ้ การกินรสเผ็ดจะช่วยได้ดี

11. ในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้น ให้เกิดกระบวนการดีท็อกซ์หรือทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง

12. พริกป่นช่วยไม่ให้เมือกเสียๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

13. ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต ขับเหงื่อ


รู้ประโยชน์ของพริกป่นแล้ว ลองหันมาทานพริกที่มีรสชาติเผ็ดร้อนกันดูเพื่อสุขภาพที่ดี แต่อย่าลืมว่าเมื่อมีประโยชน์ก็มีโทษเช่นกัน ในคนที่เป็นโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะอาหาร การทานพริกป่นที่มีรสชาติเผ็ดร้อนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและก่อเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้เช่นกัน ซึ่งไม่เพียงที่กระเพาะอาหารเท่านั้นในส่วนที่เป็นแผลที่อื่นๆในระบบทางเกินอาหาร เช่น ริดสีดวงทวาร และแผลในลำไส้ ก็อาจเกิดการระคายเคืองเช่นกัน ดังนั้นควรเลือกทานในเวลาที่หายจากโรคหรือแผลในระบบทางเดินอาหารแล้วและทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ขิง ประโยชน์และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึง


ขิงเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ทำอาหารและมีสรรพคุณในการรักษาโรค แม้ว่าขิงจะมีกลิ่นฉุนและมีรสชาติเผ็ดร้อน เลยทำให้ไม่ถูกปากหลายคนนั้น แต่ขิงก็เป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ทำอาหารและมีสรรพคุณรักษาโรค เรามาดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรดี ๆ อย่างขิงนั้นมีประโยชน์และโทษอะไรที่เราคาดไม่ถึงบ้าง

ประโยชน์ของขิง

+ ลดอาการท้องอืด

หากคุณรู้สึกท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือกินขิงสดจะทำให้คุณรู้ดีขึ้น หรือถ้าหากคุณเกิดอาการท้องอืดจากการกินถั่วละก็ คราวหน้าลองฝานถั่วบาง ๆ ลงไปในอาหารที่มีถั่ว นั่นก็จะช่วยลดอาหารท้องอืดได้เช่นกันค่ะ เพราะขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้

+ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน

จากการศึกษาพบว่า การรับประทานขิงตอนที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบนั้น จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดจากอาการไมเกรนลดลงได้ เพราะขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาอื่น แสดงให้เห็นอีกว่าขิงสามารถช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ โดยพบว่าผู้ที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์มีอาการลดลงเมื่อบริโภคขิงผงเป็นประจำทุกวัน

ประโยชน์ของขิง และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึง

+ ช่วยป้องกันมะเร็ง

ขิงมีคุณสมบัติในการช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยมีการศึกษาพบว่าขิงช่วยทำให้เซลล์มะเร็งภายในรังไข่ตาย เพราะในขิงมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีขิงเป็นส่วนประกอบยังช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

+ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้

ขิงสามารถบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ โดยชาวเอเชียนั้นมักจะใช้ขิงในการช่วยบรรเทาอาการเมารถ หรือเมาเรือ นอกจากนี้ยังมีหลายการศึกษาพบว่าขิงสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอาเจียนหลังจากการผ่าตัดและยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดได้อีกด้วย

+ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

มีการศึกษาใหม่พบว่า ขิงผงนั้นสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานขิงร่วมกับยา เพราะขิงอาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาได้ และควรติดตามผลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพราะหากรับประทานขิงมากเกินไปก็อาจจะทำให้ระดับอินซูลินลดลงมากเกินไปจนอยู่ในขีดอันตรายได้


ประโยชน์ของขิง และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึง

ขิงดอง สรรพคุณดีก็มีนะ รู้ยัง?

เราอาจจะเคยได้ยินกันมาว่าการรับประทานของหมักดองไม่ดีกับสุขภาพ แต่ต้องขอยกเว้นไว้สำหรับขิงดองค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วแม้ขิงดองจะเป็นอาหารที่ผ่านการหมักด้วยน้ำส้มสายชู แต่เรื่องสรรพคุณ และประโยชน์เพื่อสุขภาพ ขิงดองก็มีดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขิงสด ๆ เลยล่ะค่ะ ซึ่งประโยชน์ของขิงดองมีดังนี้

* ช่วยแก้อาการเมาเรือ เมารถ และอาการแพ้ท้อง

เนื่องจากขิงดองเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงอีกทั้งยังมีรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยว เลยทำให้กลายเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่มีอาการเมาเรือ เมารถ และสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะมีอาการแพ้ท้อง เอาไว้รับประทานเวลาที่รู้สึกคลื่นไส้ เพราะจะช่วยบรรเทาอาการได้ค่ะ ไม่ต้องพึ่งยาแก้เมา หรือยาแก้แพ้ท้อง ลองใช้ขิงดองดูนี่ล่ะค่ะ เด็ด !

* ช่วยล้างปากเวลารับประทานอาหาร

สำหรับหลายคนที่สงสัยว่าทำไมเวลาไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นแล้วบนจานอาหารญี่ปุ่นจะมีขิงดอง คำตอบก็คือขิงดองเหล่านั้นมีไว้รับประทานล้างปากค่ะ โดยส่วนใหญ่ในการรับประทานอาหารญี่ปุ่น จะรับประทานขิงดองตามเข้าไปหลังจากรับประทานอาหารจานนั้นหมดแล้ว เพื่อไม่ให้รสชาติอาหารจานเดิมติดอยู่ในปากจนทำให้รู้สึกเลี่ยนและรับประทานจานต่อไปไม่ไหว อีกทั้งยังทำให้ลิ้มรสอาหารจานต่อไปได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

* โซเดียมต่ำ

แม้ขิงดองจะมีรสจัด แต่น่าแปลกที่ขิงดองเป็นอาหารที่มีโซเดียมต่ำมากเมื่อเทียบกับอาหารหมักดองชนิดอื่น ๆ เมื่อนำมารับประทานแล้วก็ทำให้ไม่ต้องกังวลกับปริมาณโซเดียม ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความดันโลหิตสูงลงไปได้อีกเยอะเลย


ประโยชน์ของขิง และโทษที่คุณอาจคาดไม่ถึงง

ข้อควรระวังในการทานขิง

- อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ได้

มีบางการศึกษาพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์และการแท้ง แต่ในการตั้งครรภ์รายอื่น ๆ นั้นไม่พบว่าการรับประทานขิงจะทำให้เกิดอาการเหล่านั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการคลื่นไส้จากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ดังนั้นคุณควรไปปรึกษาแพทย์ก่อนจะที่ใช้ขิงในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตนเองค่ะ

- ทำให้เกิดแผลร้อนในภายในปากได้

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ถ้าหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุภายในช่องปากเกิดการอักเสบจนเป็นอาการร้อนในได้ ดังนั้นไม่ควรรับประทานขิงมากจนเกินไปค่ะ

- ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด

การศึกษาหนึ่งในออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีสรรพคุณในการต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่ายาแอสไพริน สถาบันสุขภาพของออสเตรเลียได้ออกคำเตือนให้งดการรับประทานขิงในขณะที่ใช้ยาละ]ายลิ่มเลือดเพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอาการห้อเลือดหรืออาการเลือดออกได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเลือดออกผิดปกติหรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานขิงค่ะ

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว หวังว่าหลาย ๆ คน ที่กำลังคิดจะใช้ขิงช่วยบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ก็คงจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นนะคะ เพราะบางทีถ้าหากเราใช้ขิงในการรักษาโรคหนึ่งแต่ก็อาจจะไปช่วยกระตุ้นให้อีกโรคนั้นอาการกำเริบได้ ดังนั้นควรจะรับประทานขิงอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าหากไม่มั่นใจล่ะก็ ไปปรึกษาแพทย์ดีกว่านะคะ

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

โหระพา สมุนไพรไทยมาล้นคุณประโยชน์


ใบโหระพา เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็ง โหระพา 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ 452.16 ไมโครกรัม ใบโหระพามีกลิ่นเฉพาะใช้เป็นผักสด ใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหารและมีธาตุแคลเซียมสูงด้วย

นอกจากจะเป็นอาหารแล้ว โหระพายังเป็นสมุนไพรด้วย เพราะมีสรรพคุณทางยาอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

1. แก้ไข้ ปวดศรีษะ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ ขับพยาธิ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร โดยใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำรับประทานเป็นชาหรือรับประทานเป็นผักสด

2. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายอ่อน ๆ เพื่อแก้อาการท้องผูก โดยนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่รับประทานกับขนมหวานโดยผสมกับน้ำหวานและน้ำแข็ง

3. ใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนอง โดยบดใบโหระพาแห้งให้เป็นผงทาบริเวณที่เป็น

4. บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยคั้นน้ำจากใบโหระพาสด ประมาณ 1ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอ้อย 2ช้อน รับประทานวันละ 2ครั้ง พร้อมกับน้ำอุ่น

5. แก้สะอึก โดยใช้ใบโหระพาสดหรือแห้งพร้อมขิงสดแช่ในน้ำเดือดรับประทานในขณะที่น้ำยังร้อน

6. น้ำมันโหระพาสามารถฆ่ายุงและแมลงได้

7. เมล็ดแก่แช่น้ำใช้พอกแผลบรรเทาอาการฟกช้ำ

น้ำมันโหระพา

น้ำมันโหระพา เป็นน้ำมันหอมระเหยที่พบในใบโหระพามีร้อยละ 1.5 องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญ คือ Methylcha vicol และสกัดได้จากใบโหระพาพันธุ์ไทย โดยการกลั่นด้วยไอน้ำ เป็นของเหลวใสสีเหลืองอ่อน หรือเหลืองอมน้ำตาลปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย ไม่มีการแยกชั้นของน้ำ มีกลิ่นเฉพาะตัว มีคุณสมบัติแก้จุกเสียดแน่นท้อง

น้ำมันหอมระเหยช่วยการย่อยอาหารเนื้อสัตว์ ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงช่วยให้สบายท้องขึ้น มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติช่วยให้สงบ มีสมาธิ ลดอาการซึมเศร้า ข้อควรระวังในการใช้คือ ทำให้เกิดอาการแพ้ง่าย สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง

การใช้เป็นยาสมุนไพร

โหระพามีสรรพคุณทางยาสมุนไพรที่หลากหลาย ใบสดของโหระพามีสรรพคุณแก้ท้องอืด เฟ้อ ขับลมจากลำไส้ ต้มดื่มแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร ใช้ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบ แผลอักเสบ ต้มใบและต้นสดเข้าด้วยกัน ต้มเอาน้ำดื่ม แก้หวัด ขับเหงื่อ ถ้าเด็กปวดท้อง ใช้ใบโหระพา 20 ใบ ชงน้ำร้อนและนำมาชงนมให้เด็กดื่มแทนยาขับลมได้ ใบโหระพาแห้งต้มกับน้ำ มีสรรพคุณต้านเชื้อก่อโรค